วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

วิธีเลือกซื้อเอ็นร้อยลูกปัดแบบคุ้มสุดๆ 1

 

บทความนี้อาจจะยาวหน่อยแต่รับรองว่าถ้าอ่านแล้วคุณจะเข้าใจและมั่นใจในการเลือกซื้ออุปกรณ์การร้อยมากขึ้น รวมถึงยังสามารถเลือกราคาที่เหมาะสมอีกด้วย

เพื่อนๆ ทราบกันหรือไม่ว่า เอ็นร้อยลูกปัดที่ขายกันในเมืองไทยนั้น ปัจจุบันมีอยู่หลักๆ แค่ 2 ยี่ห้อ คือ

1. ตราระฆัง - ราคาถูกมาก แต่สายจะแข็งและมีเมมโมรี่สูง (อย่าเพิ่งงงค่ะ เดี๋ยวอธิบายให้ฟัง)
2. ตราซูฟิก - ราคาแพงกว่าตราระฆังเล็กน้อย แต่สายจะนุ่มกว่า และเมมโมรี่ต่ำกว่า

สายเอ็นนั้น ภาษาอังกฤษเรียกว่า โมโนฟิลาเม้นท์ (Monofilament) โมโน แปลว่า หนึ่ง ส่วนฟีลาเม้นท์ แปลว่าเส้นด้ายหรือเชือก สรุปง่ายๆ Monofilament = สายพลาสติกเส้นเดี่ยว นั้นเองค่ะ

ฉลากหรือสติ๊กเกอร์ที่แปะอยู่บนม้วนของเอ็นนั้นปกติจะมีข้อมูลดังต่อไปนี้ค่ะ
- น้ำหนัก เป็นปอนด์หรือกิโลกรัม (Breaking Strain)
- ประเภทของวัสดุ (Nylon or Copolymer)
- ขนาดหน้าตัดเป็นนิ้ว หรือซม. (Line Diameter)
- คุณสมบัติพิเศษอื่นๆ เช่น Low Memory, Extra-Low Memory, Abrasion Resistance และคำอื่นๆ อีกมากมายหลายหลาก

บางคนอาจสงสัยว่าทำไมต้องมีน้ำหนักมาเกี่ยวข้องด้วยเพราะเราเอาไปร้อยลูกปัด จริงๆ แล้วสายเอ็นนั้นส่วนมากผลิตเอาไว้เพื่อใช้ตกปลา ซึ่งเวลาตกปลาแต่ละชนิดก็ย่อมต้องการสายที่แข็งแรงมากน้อยต่างกัน ขึ้นอยู่กับน้ำหนักของปลาค่ะ จริงๆ แล้วน้ำหนักของลูกปัดหรือคริสตัลนั้นน้อยมาก อาจจะเบากว่าปลาหางนกยูงด้วยซ้ำ แต่ไม่ใช่ว่าเรื่องน้ำหนักไม่สำคัญนะคะ เพราะยิ่งรับน้ำหนักได้มากแสดงว่ายิ่งแข็งแรง ซึ่งก็ยิ่งดีแน่นอนค่ะ

น้ำหนักจะสัมพันธ์กับขนาดหน้าตัดของสายเอ็น คือยิ่งรับน้ำหนักได้มาก สายจะยิ่งหนาซึ่งอาจเกิดปัญหาได้เวลาจะร้อยลูกปัดเบอร์ 15 หรือร้อยผ่านหลายๆ ครั้ง แต่จะมีสายอีกประเภทหนึ่ง เรียกว่า "สายโหลด" ซึ่งจะสามารถรับน้ำหนักได้มากกว่าสายธรรมดา ในความหนาที่เท่ากัน

ยกตัวอย่างนะคะ ปกติแล้วสายเอ็นธรรมดา ขนาดหน้าตัดที่เราชาว Beader ใช้จะหนา 0.2-0.3 ซม. ซึ่งขนาด 0.2 ซม.นั้น ปกติรับน้ำหนักได้ประมาณ 4 ปอนด์ ส่วนขนาด 0.3 ซม.จะรับได้ประมาณ 8 ปอนด์ แต่ถ้าเพื่อนๆ ซื้อสายโหลด ก็จะรับน้ำหนักได้มากกว่านั้น กล่าวคือ ขนาด 0.2 ซม. อาจจะรับได้ตั้งแต่ 10-15 ปอนด์ (แล้วแต่ยี่ห้อ) หรือขนาด 0.3 ซม. อาจจะรับได้ มากกว่า 20 ปอนด์เลยก็ได้

ในความเป็นจริงแล้วคงไม่มีใครใส่สร้อยที่มีน้ำหนัก 20 ปอนด์ (ประมาณ 9 กิโล) หรอกค่ะ แต่เราขอแนะนำว่า เวลาเลือกขนาด ให้เลือกขนาดใหญ่ที่สุดที่สามารถร้อยผ่านลูกปัดได้มากครั้งเท่าที่เราต้องการ พูดง่ายๆคือเป็นส่วนผสมระหว่างความสะดวกในการร้อย และความแข็งแรงค่ะ

ต่อมาเป็นเรื่องวัสดุ สายเอ็นส่วนมากจะมีอยู่ 2 แบบคือ
1. Nylon: สายไนล่อนผลิตจากพลาสติกชนิดหนึ่งที่คิดค้นโดยบริษัท Dupont
2. Copolymer: เป็นพลาสติกที่ประกอบด้วยไนล่อน ตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไป
3. Fluorocarbon: สายฟลูโอโรคาร์บอนมีจุดขายอยู่ที่ความแข็งแรง ทนทานต่อรังสี UV (รังสี UV เป็นสิ่งที่ทำให้สายโมโนเสื่อมสภาพได้มากที่สุด) อีกทั้งยังมีความโปร่งแสงมากกว่าสายชนิดอื่น แต่เนื่องจากเราไม่เคยใช้เพราะทราบมาว่าสายค่อนข้างแข็งประกอบกับไปอ่านในฟอรั่มที่ไหนก็ไม่พบว่ามีใครใช้สายประเภทนี้ จึงไม่ขอกล่าวถึงในทีนี้นะคะ

สำหรับสายที่ทำจากวัสดุ 2 ประเภทแรกนั้น บางยี่ห้ออาจติดป้ายว่า Nylon monofilament ในขณะที่อีกยี่ห้อติดว่า Copolymer line แต่จริงๆ แล้วทั้ง 2 อย่างนี้ต่างก็ทำมาจากพลาสติกด้วยกันทั้งคู่ แต่เนื่องจากเราไม่ได้เรียนทางด้าน Plastic Engineering เลยไม่สามารถบอกข้อมูลเชิงลึกได้มากไปกว่านี้ แต่เราคิดว่าตราบใดที่เป็นสายโมโนเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็น Nylon หรือ Copolymer ก็คงไม่ได้สร้างความแตกต่างในการทำงานฝีมือเท่าไหร่นัก เพราะยังมีคุณสมบัติด้านอื่นๆ ที่สำคัญกว่าให้พิจารณาประกอบ เช่น สี ขนาด ความยืดหยุ่น ฯลฯ

เพิ่มเติมเกี่ยวกับคำศัพท์ที่ได้กล่าวถึงไปแล้ว บางคำเราจะกล่าวถึงในตอนหน้า
1. Memory คืออะไร - เวลาที่เพื่อนๆ ดึงเอ็นออกจากม้วนแล้ว จะพบว่าบางยี่ห้อเอ็นจะขดเป็นวงๆ บางยี่ห้อจะขดน้อยมากจนเกือบตรง ซึ่งลักษณะขดเป็นวง หรือหงิกๆ งอๆ นี่แหละค่ะเค้าเรียกว่าเมมโมรี่ ดังนั้นถ้ายี่ห้อไหนบอกว่า Extra low / Super low / Zero memory แสดงว่าปัญหาสายขด หรือหงิกงอ จะน้อยค่ะ ปัจจุบันมีสายบางยี่ห้อถึงขั้นตั้งชื่อว่า Amnesia เลยคะ คือสมองเสื่อมไปเลย เมมโมรี่ต่ำสุดๆ

2. Line Diameter - หมายถึงความหนาของสายค่ะ บางยี่ห้อจะไม่ได้บอกเป็นนิ้วหรือซม. แต่บอกเป็นปอนด์แทน เช่น 14/6 Lb Line dia. ก็หมายถึงว่าสายนี้เป็นสายโหลด รับน้ำหนักได้ 14 ปอนด์ แต่มีหน้าตัดขนาดเท่าสายเต็ม 6 ปอนด์ (ประมาณ 0.23 ซม.ค่ะ) ศัพท์พวกนี้นักตกปลาจะเข้าใจกันดี แต่สำหรับคนที่ไม่รู้เรื่องตกปลาเท่าไหร่อาจจะงง ให้ถามคนขายให้ชัวร์จะดีกว่าค่ะว่ามีความหนากี่นิ้ว หรือกี่ซม.กันแน่

3. Abrasion Resistance, Extra Tough - จุดอ่อนอย่างหนึ่งของสายโมโนคือมันเป็นสายประเภทที่แข็งแรงน้อยกว่าสายประเภทอื่น ดังนั้นผู้ผลิตก็พยายามเพิ่มความแข็งแรงให้มากขึ้น คือมีการพัฒนากันอยู่ตลอดค่ะ ส่วนสายประเภทไหนที่แข็งแรงกว่านั้น 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น